BHA

BHA คืออะไร ดีอย่างไร สำหรับคนที่หน้าเป็นสิว

สิวอุดตัน รูขุมขนกว้าง หรือผิวมันเกินไป เป็นปัญหาที่ทำให้หลายคนหมดความมั่นใจ แม้จะลองเปลี่ยนสกินแคร์มากี่ตัวก็ยังไม่ดีขึ้น หนึ่งในตัวช่วยที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในวงการสกินแคร์ก็คือ BHA สารที่ขึ้นชื่อเรื่องการจัดการปัญหาสิวได้ตรงจุด วันนี้เราจะพาคุณมาทำความรู้จัก BHA แบบเข้าใจง่าย เหมือนมีเพื่อนที่รู้จริงมาเล่าให้ฟัง

BHA ตัวช่วยจัดการสิวอุดตัน คุมมัน และเปลี่ยนผิวใสในปี 2025

ถ้าคุณกำลังหาตัวช่วยจัดการ สิวอุดตัน สิวอักเสบ หรือผิวมัน อยู่ล่ะก็ ชื่อของ BHA (Beta Hydroxy Acid) คงโผล่มาในหัวคุณไม่มากก็น้อย เพราะนี่คือสารสกินแคร์ที่ถูกพูดถึงกันหนักมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จุดเด่นของ BHA คือช่วย ผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตัน และคุมมัน ได้อย่างตรงจุด จนหลายคนบอกว่าเป็นไอเท็มเปลี่ยนผิวได้จริง บทความนี้จะเล่าให้คุณฟังตั้งแต่ BHA คืออะไร วิธีใช้ที่ถูกต้อง ข้อควรระวัง ไปจนถึงการเปรียบเทียบกับ AHA และผลิตภัณฑ์ที่น่าลองในปี 2025

เซรั่ม BHA บำรุงผิวหน้าลดสิวอุดตัน

ทำความรู้จัก BHA แบบเข้าใจง่าย

พูดง่าย ๆ BHA คือกรดที่ละลายในน้ำมัน เวลาเจอกับรูขุมขนที่มีไขมันและสิ่งสกปรก มันจะค่อย ๆ ซึมเข้าไปละลายของพวกนั้นออกมา ทำให้สิวอุดตันลดลง ผิวใสขึ้น ตัวที่นิยมสุดคือ Salicylic Acid ที่มักถูกใส่ในโทนเนอร์หรือเซรั่ม ความเข้มข้นที่ใช้ในสกินแคร์ทั่วไปจะอยู่ที่ 0.5% – 2% ซึ่งปลอดภัยสำหรับผิว

ผิวผู้ชายไทยก่อนและหลังใช้ BHA ลดสิวอุดตัน

ประโยชน์ของ BHA ต่อผิวที่เป็นสิว

หลายคนอาจเคยสงสัยว่า ทำไมเวลาเป็นสิวอุดตันหรือสิวอักเสบ แพทย์ผิวหนังถึงมักแนะนำผลิตภัณฑ์ที่มี BHA อยู่เสมอ เหตุผลก็คือ BHA ไม่ได้ช่วยแค่เรื่อง “ผลัดเซลล์ผิว” อย่างเดียว แต่ยังทำงานลึกลงไปในรูขุมขน เพื่อลดสิ่งอุดตันและควบคุมความมัน ซึ่งเป็นต้นตอของการเกิดสิว บวกกับคุณสมบัติในการลดการอักเสบ จึงทำให้ผิวที่เคยมีปัญหาสิวดูดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และนี่คือประโยชน์หลัก ๆ ของ BHA ที่หลายคนชื่นชอบ:

  • ผลัดเซลล์ผิวอ่อนโยน – ช่วยเคลียร์เซลล์ที่ตายแล้วออกไป ทำให้ผิวดูสดใส
  • ลดการอุดตัน – เข้าสู่รูขุมขนเพื่อละลายสิ่งที่อุดอยู่ ลดสิวหัวดำ สิวเสี้ยน
  • ปลอบสิวอักเสบ – มีคุณสมบัติช่วยลดรอยแดง บวมจากสิว
  • คุมมัน – ลดการผลิตน้ำมันส่วนเกิน คนผิวมันใช้แล้วเห็นผลชัด
  • รูขุมขนกระชับ – ผิวดูเนียนละเอียดขึ้น

ภาพเปรียบเทียบ BHA กับ AHA ผลัดเซลล์ผิวต่างกัน

BHA vs AHA เลือกอะไรดีกับผิวเรา?

คำถามยอดฮิตที่หลายคนสงสัยคือ “BHA กับ AHA มันต่างกันยังไง?” จริง ๆ แล้วทั้งคู่คือสารผลัดเซลล์ผิว แต่ทำงานในคนละชั้นผิว และตอบโจทย์ปัญหาผิวไม่เหมือนกัน หากเข้าใจจุดต่าง จะเลือกใช้ได้ง่ายขึ้น

  • AHA (Alpha Hydroxy Acid): ละลายในน้ำ เน้นทำงานบนผิวชั้นนอกสุด ช่วยผลัดเซลล์เก่าที่หมองคล้ำออกไป ทำให้ผิวดูสว่าง กระจ่างใสขึ้น และยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เหมาะกับคนที่ผิวแห้ง ผิวหมอง หรือเริ่มมีริ้วรอย
  • BHA (Beta Hydroxy Acid): ละลายในน้ำมัน สามารถซึมเข้าไปในรูขุมขนได้ลึกกว่า จัดการสิ่งอุดตัน น้ำมัน และแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิว จึงเหมาะกับคนที่ผิวมัน รูขุมขนกว้าง หรือมีสิวอุดตันบ่อย ๆ

แล้วควรเลือกอะไร? ถ้าเป้าหมายหลักคือ สิวอุดตัน คุมมัน ให้เลือก BHA แต่ถ้าอยากได้ ผิวกระจ่างใส ลดรอยหมองคล้ำ AHA จะตอบโจทย์กว่าใช้คู่กันได้ไหม? คำตอบคือ “ได้” แต่ควรใช้แบบสลับวันหรือสลับช่วงเวลา เช่น AHA ตอนเช้า BHA ตอนเย็น หรือใช้ AHA 2–3 วันต่อสัปดาห์ และใช้ BHA อีก 2–3 วัน เพื่อเลี่ยงการระคายเคือง วิธีนี้จะช่วยให้ได้ทั้งผิวใสและสิวลดลงในเวลาเดียวกัน แต่ต้องไม่ลืม ทากันแดดทุกวัน เพราะทั้ง AHA และ BHA ทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น

BHA เหมาะกับใครบ้าง?

BHA ไม่ได้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว แต่จะเห็นผลชัดที่สุดในกลุ่มที่มีปัญหาสิวและความมัน หากคุณอยู่ในกลุ่มนี้ บอกเลยว่า BHA คือไอเท็มที่ควรลอง:

  • ผิวมัน – ลดการผลิตน้ำมันส่วนเกิน ผิวไม่มันเยิ้ม ลดสิวอุดตัน
  • ผิวผสม – เคลียร์รูขุมขนเฉพาะจุด โดยเฉพาะ T-zone
  • ผิวเป็นสิวง่าย – ลดสิวอุดตันใหม่ และปลอบสิวอักเสบ
  • ผิวที่มีรอยแดงจากสิว – BHA มีฤทธิ์ anti-inflammatory ช่วยลดรอยแดงและบวม

ผู้หญิงไทยใช้โทนเนอร์ BHA ดูแลผิวหน้า

วิธีใช้ BHA ให้ได้ผลและปลอดภัย

การใช้ BHA ให้เห็นผลไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ควรใจร้อนเกินไป เพราะหากใช้ผิดวิธีแทนที่จะได้ผิวใส อาจทำให้ผิวระคายเคืองได้ง่าย ดังนั้นมาลองดูวิธีใช้ที่ถูกต้องและปลอดภัยกันครับ:

  • เริ่มจากเบา ๆ – มือใหม่ไม่ควรเริ่มที่ความเข้มข้นสูงทันที ควรเลือก BHA  1% เพื่อให้ผิวค่อย ๆ ปรับตัวก่อน จากนั้นหากผิวแข็งแรงแล้วค่อยขยับไปที่ 2%
  • ทดสอบการแพ้ – ก่อนใช้ทั่วหน้า ควรทำ patch test ที่บริเวณหลังใบหูหรือท้องแขน หาก 24–48 ชั่วโมงไม่เกิดอาการแดงหรือคัน จึงค่อยใช้กับใบหน้า
  • ใช้ตอนเย็น – เวลาที่เหมาะสมที่สุดคือช่วงค่ำ หลังล้างหน้าและเช็ดให้แห้ง ควรทา BHA เป็นขั้นตอนแรกก่อนลงมอยส์เจอร์ไรเซอร์
  • แมทช์คู่ที่ถูก – BHA เข้าคู่ได้ดีกับ Niacinamide และ Hyaluronic Acid ช่วยลดการระคายเคืองและเพิ่มความชุ่มชื้น ควรเลี่ยงการใช้พร้อมกับ Retinol หรือ Vitamin C ในเวลาเดียวกันเพื่อไม่ให้ผิวแสบเกินไป
  • กันแดดทุกวัน – ข้อนี้ห้ามพลาด! เพราะ BHA ทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น หากไม่ทากันแดด อาจทำให้รอยสิวและจุดด่างดำหนักกว่าเดิม

สิ่งที่ควรระวังเมื่อใช้ BHA

แม้ว่า BHA จะเป็นตัวช่วยชั้นดีในการดูแลผิว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเหมาะกับทุกคนหรือทุกสถานการณ์ หากใช้ไม่ถูกวิธีแทนที่จะได้ผิวใส อาจทำให้ผิวระคายเคืองหรือมีอาการแพ้ได้ง่าย ดังนั้นก่อนจะเริ่มใช้ควรรู้ข้อควรระวังเหล่านี้ไว้ เพื่อให้การใช้ BHA ปลอดภัยและเห็นผลจริง

  • ผิวบอบบางอาจระคายเคืองได้
  • ไม่ควรใช้บนผิวที่มีแผลเปิดหรืออักเสบรุนแรง
  • หากใช้แล้วมีอาการแดง คัน แสบ ควรหยุดทันที
  • ผู้ที่มีโรคผิวหนังเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ BHA ยอดนิยมปี 2025

รีวิว 5 ผลิตภัณฑ์ BHA ที่น่าลองในปี 2025

  • Paula’s Choice Skin Perfecting 2% BHA Liquid Exfoliant – ตำนานของวงการ BHA ที่หลายคนใช้แล้วติดใจ
  • The Ordinary Salicylic Acid 2% Solution – ราคาน่าคบหาพร้อมผลลัพธ์ที่ชัดเจน
  • COSRX BHA Blackhead Power Liquid – สกินแคร์เกาหลีที่คนผิวมันเลิฟ
  • CeraVe SA Smoothing Cleanser – โฟมล้างหน้าผสม BHA ล้างสะอาดโดยไม่แห้งตึง
  • La Roche-Posay Effaclar Serum – รวม AHA+BHA ในขวดเดียว เหมาะกับคนที่มีทั้งสิวและรอย

สรุปส่งท้าย: ทำไม BHA ยังเป็นไอเท็มฮิตในปี 2025

BHA ไม่ใช่แค่สารผลัดเซลล์ผิวธรรมดา แต่เป็นตัวช่วยสำคัญของคนที่มีปัญหาสิวอุดตัน รูขุมขนกว้าง และผิวมัน เพราะทำงานได้ลึกกว่าการล้างหน้าและสครับทั่วไป เมื่อใช้อย่างถูกวิธีจะช่วยให้ผิวเรียบใส ลดสิวใหม่ และทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆปี 2025 นี้ BHA ยังคงครองตำแหน่งไอเท็มยอดฮิตของสายสกินแคร์ เพราะตอบโจทย์ทั้งเรื่อง ผิวใส + ลดสิว + คุมมัน ในขั้นตอนเดียว แต่สิ่งสำคัญคือการเลือกความเข้มข้นที่เหมาะกับผิว เริ่มใช้จากน้อยไปมาก และอย่าลืมป้องกันผิวด้วยครีมกันแดดทุกวัน ถ้าคุณกำลังมองหาตัวช่วยเปลี่ยนผิวให้ดูสุขภาพดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ BHA คือตัวเลือกที่คุ้มค่าและน่าลอง 

คำถามที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับ BHA (FAQ)

BHA ช่วยแก้ปัญหาสิวแบบไหนได้บ้าง?

BHA มีคุณสมบัติหลักในการซึมเข้าสู่รูขุมขนและละลายสิ่งอุดตัน จึงช่วยลดสิวหัวดำ สิวเสี้ยน และสิวอุดตันได้ดี นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ จึงช่วยปลอบสิวอักเสบเล็กน้อย ทำให้รอยแดงจางลง แต่ถ้าเป็นสิวอักเสบรุนแรงหรือสิวซีสต์ อาจต้องใช้ยาที่แพทย์สั่งร่วมด้วย

ต้องใช้ BHA กี่ครั้งต่อสัปดาห์ถึงจะเห็นผลเรื่องสิว?

สำหรับผู้เริ่มต้น แนะนำให้ใช้สัปดาห์ละ 2–3 ครั้งก่อนเพื่อให้ผิวปรับตัว จากนั้นสามารถเพิ่มเป็นวันเว้นวันหรือตามสภาพผิว โดยส่วนใหญ่สิวอุดตันจะเริ่มลดลงภายใน 2–4 สัปดาห์ และเห็นผลชัดเจนขึ้นเมื่อใช้ต่อเนื่อง 8–12 สัปดาห์

ใช้ BHA แล้วสิวเห่อขึ้น ถือว่าปกติไหม?

อาการสิวขึ้นช่วงแรกที่เรียกว่า “Purging” อาจเกิดขึ้นได้ เพราะผิวกำลังผลัดเซลล์และดันสิ่งอุดตันออกมา หากสิวที่ขึ้นใหม่เป็นสิวอุดตันขนาดเล็กและหายไปใน 2–4 สัปดาห์ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ามีอาการแดง บวม แสบ ควรหยุดใช้ทันทีและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

ถ้าผิวแพ้ง่าย อยากลอง BHA ควรทำยังไง?

ผิวแพ้ง่ายก็สามารถใช้ BHA ได้ แต่ต้องเลือกความเข้มข้นต่ำ (0.5–1%) และทำการ patch test ก่อนทุกครั้ง เริ่มใช้เฉพาะบางบริเวณ เช่น บริเวณที่มีสิวอุดตันมาก ๆ และทามอยส์เจอร์ไรเซอร์คู่เสมอ หากเกิดการระคายเคืองควรหยุดทันทีและปรึกษาแพทย์ผิวหนัง

BHA ต่างจากการสครับผิวแบบเม็ดขัดยังไง?

การสครับผิวแบบกายภาพ (Physical Scrub) ใช้เม็ดสครับถูบนผิว ซึ่งอาจทำให้เกิด micro-tears หรือรอยถลอกเล็ก ๆ โดยไม่รู้ตัว ส่วน BHA เป็นการผลัดเซลล์ผิวแบบเคมี (Chemical Exfoliant) ที่ค่อย ๆ สลายเซลล์เสื่อมสภาพและสิ่งอุดตัน จึงอ่อนโยนกว่าและลดโอกาสทำร้ายผิว เหมาะกับคนที่เป็นสิวง่าย

Scroll to Top