ผมเสียจากการทำเคมีผู้ชาย แบบก่อนหลัง ฟื้นฟูให้กลับมาเงานุ่ม

ผมเสียจากการทำเคมี แก้ได้ไหม คู่มือฟื้นฟูผมเสียสำหรับผู้ชาย 2025

หนุ่มๆ ที่ผ่านการทำสี ดัด หรือยืดผมมาหลายครั้ง อาจเริ่มรู้สึกว่าเส้นผมไม่เหมือนเดิม — แห้ง ชี้ฟู จัดทรงยาก และขาดความเงางาม นั่นคือสัญญาณของ ผมเสียจากการทำเคมี ซึ่งเกิดจากการสูญเสียโปรตีนและน้ำในเส้นผม บทความนี้จะพาคุณมารู้ลึกตั้งแต่สาเหตุ ประเภทของผมเสีย วิธีดูแล และการเลือกผลิตภัณฑ์ฟื้นฟูที่เหมาะกับผู้ชายโดยเฉพาะ

ทำไมผมถึงเสียหลังทำเคมี

เกล็ดผมเปิดจากทำสีดัดยืด สาเหตุผมเสียผู้ชาย

น้ำยาเคมีสำหรับการทำสี ดัด หรือยืดผม จะเข้าไปทำลายโครงสร้างโปรตีนภายในเส้นผม (Keratin) ทำให้ เกล็ดผมเปิดออก และสูญเสียความชุ่มชื้น ส่งผลให้ผมเปราะ ขาดง่าย และสูญเสียความเงางาม นอกจากนี้ยังทำให้สีผมซีดลงเร็ว และหนังศีรษะระคายเคืองได้ง่าย โดยเฉพาะผู้ชายที่ชอบสระผมบ่อยหรือใช้แชมพูสูตรแรง ซึ่งยิ่งซ้ำเติมความแห้งเสีย

ประเภทผมเสียผู้ชายจากเคมี ความร้อน มลภาวะ และพฤติกรรม

ประเภทของผมเสียที่พบบ่อยในผู้ชาย

ผมเสียไม่ได้เกิดจากการทำเคมีเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้เส้นผมของผู้ชายอ่อนแอลงได้ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมประจำวัน สภาพอากาศ หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผม การเข้าใจว่า “ผมเสียของคุณเกิดจากอะไร” จะช่วยให้เลือกแนวทางฟื้นฟูได้อย่างถูกจุดและเห็นผลเร็วขึ้น

  • ผมเสียจากสารเคมี: เกิดจากการทำสี ยืด หรือดัดผมบ่อยเกินไป ซึ่งน้ำยาเคมีจะเข้าไปทำลายโครงสร้างเคราตินภายในเส้นผม ทำให้เกล็ดผมเปิดออก ส่งผลให้ผมสูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงตามธรรมชาติ ผิวสัมผัสของเส้นผมจึงแห้ง หยาบ และขาดง่าย การแก้ไขคือหลีกเลี่ยงการทำเคมีซ้ำ และใช้ทรีทเม้นท์สูตรเคราตินเพื่อ補ฟื้นโปรตีนที่สูญเสียไป
  • ผมเสียจากความร้อน: การเป่าผมด้วยไดร์ เครื่องหนีบ หรือที่ม้วนผมเป็นประจำ จะทำให้เส้นผมสูญเสียน้ำและโปรตีน ทำให้ผมเปราะ แตกปลาย และเกิดไฟฟ้าสถิตง่าย โดยเฉพาะผู้ชายที่เซ็ตผมทุกวันควรใช้ สเปรย์กันความร้อน (Heat Protectant) ก่อนจัดแต่งทรงผมเสมอ
  • ผมเสียจากมลภาวะ: ฝุ่น ควัน แสงแดด และเหงื่อสะสมระหว่างวัน สามารถทำลายเกล็ดผมและทำให้หนังศีรษะระคายเคืองได้ง่าย ส่งผลให้ผมหมอง สีซีด และหลุดร่วงมากขึ้น การล้างทำความสะอาดและบำรุงด้วยแชมพูสูตรดีท็อกซ์อ่อนโยนจึงสำคัญอย่างยิ่ง
  • ผมเสียจากพฤติกรรมประจำวัน: เช่น การสระผมบ่อยเกินไป การขยี้ผมแรง หรือใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงที่มีแอลกอฮอล์สูง ล้วนทำให้ผมสูญเสียความชุ่มชื้น ควรปรับพฤติกรรมและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยนแทน

สัญญาณผมเสียผู้ชาย ผมพันกัน แตกปลาย แห้งสาก

สัญญาณเตือนว่าผมคุณเริ่มเสีย

หลายครั้งผู้ชายมักมองข้ามสัญญาณเล็กๆ ของผมเสีย เพราะคิดว่าเป็นเรื่องปกติ เช่น ผมพันกันหรือชี้ฟูเล็กน้อย แต่จริงๆ แล้วนั่นคือจุดเริ่มต้นของ “ผมเสียสะสม” ที่อาจลามจนผมขาดร่วงได้ การสังเกตอาการตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจะช่วยให้ฟื้นฟูได้ทันก่อนสายเกินไป

  • ผมแห้งกรอบ สากมือ ไม่มีน้ำหนัก: เป็นสัญญาณแรกของผมที่สูญเสียน้ำมันธรรมชาติ เส้นผมจะแข็ง หยาบ และดูไม่มีชีวิตชีวา มักเกิดจากการสระผมบ่อยเกินไปหรือใช้แชมพูที่แรงเกินไป
  • หวียาก พันกันง่าย: เกล็ดผมที่เปิดออกจากการทำเคมีหรือความร้อนทำให้เส้นผมเสียดสีกันง่าย ผมจึงพันกันและขาดเมื่อหวี ควรใช้ครีมนวดหรือเซรั่มเคลือบผมช่วยลดแรงดึง
  • แตกปลาย ขาดร่วง: เมื่อผมขาดโปรตีนและความชุ่มชื้นจะเปราะง่าย ปลายผมเริ่มแตกและขาดทุกครั้งที่หวีหรือตอนเช็ดผมหลังสระ หากไม่เล็มปลายออกจะลามจนเส้นผมดูฟูเสียทั่วศีรษะ
  • สีผมซีด หมอง ไม่เงา: สำหรับคนที่ทำสีผมบ่อย สีผมจะเริ่มจางลงเร็วผิดปกติ เงาหายและดูหม่น เกิดจากการที่เกล็ดผมเปิดออกจนเม็ดสีหลุด การใช้ทรีตเม้นท์เคลือบสีหรือแชมพูสูตรรักษาสีจะช่วยได้
  • หนังศีรษะลอก คัน เป็นขุย: เมื่อเส้นผมแห้ง หนังศีรษะก็มักแห้งตาม ทำให้คันและเกิดขุยคล้ายรังแค ซึ่งเป็นสัญญาณว่าผิวหนังขาดความชุ่มชื้น ควรใช้แชมพูสูตรบาลานซ์ pH และเพิ่มการบำรุงหนังศีรษะด้วยเซรั่มหรือออยล์

วิธีฟื้นฟูผมเสียสำหรับผู้ชาย (ทำตามได้จริง)

เมื่อรู้สาเหตุของผมเสียแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเริ่ม “ฟื้นฟูผมเสียอย่างถูกวิธี” ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ของแพงหรือเข้าร้านบ่อยๆ เสมอไป หากรู้เทคนิคพื้นฐานและเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพผม ก็สามารถกู้ผมเสียให้กลับมานุ่ม สุขภาพดีได้ในเวลาไม่นาน ส่วนสำคัญคือ “ความต่อเนื่อง” เพราะผมที่ผ่านสารเคมีมักต้องการการดูแลอย่างสม่ำเสมอและลึกถึงแกนผม

1. พักผมจากสารเคมี

การพักผมคือการให้เส้นผมได้ฟื้นตัวโดยไม่ถูกทำร้ายซ้ำ การเว้นการทำสี ดัด หรือยืดผมอย่างน้อย 2–3 เดือน จะช่วยให้เกล็ดผมที่เปิดอยู่ค่อยๆ ปิดลง และลดการหลุดร่วงของโปรตีนในเส้นผม หนังศีรษะจะเริ่มผลิตน้ำมันตามธรรมชาติออกมาเพื่อเคลือบและหล่อเลี้ยงผมให้แข็งแรงมากขึ้น

2. ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผมที่เหมาะกับผมเสีย

หนึ่งในกุญแจสำคัญของการฟื้นฟูผมคือการใช้ “ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผมเสียโดยเฉพาะ” เพราะผมที่ผ่านเคมีต้องการการบำรุงลึกกว่าเส้นผมปกติ ควรมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีสารฟื้นฟูโปรตีน เช่น เคราติน, โคลลาเจน หรืออาร์แกนออยล์ ที่ช่วยเติมเต็มช่องว่างในเส้นผมให้แน่นขึ้น ผมนุ่มลื่นและลดการขาดร่วงได้จริง

  • แชมพู: เลือกสูตรอ่อนโยน ปราศจากซัลเฟต (Sulfate-Free) เพื่อไม่ชะล้างน้ำมันธรรมชาติของหนังศีรษะ มีส่วนผสมบำรุงอย่างเคราติน อาร์แกนออยล์ หรือไฮยาลูรอนิกแอซิด เพื่อคืนความชุ่มชื้น
  • ครีมนวดผม: ใช้ทุกครั้งหลังสระเพื่อช่วยให้เส้นผมเรียงตัวและหวีง่ายขึ้น เพิ่มความนุ่มลื่นและลดไฟฟ้าสถิต
  • ทรีทเม้นท์เข้มข้น: หมักผมสัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง โดยเลือกสูตรที่ซึมซาบลึก ฟื้นฟูจากภายในให้ผมแข็งแรง
  • ลีฟออน / เซรั่มบำรุงผม: ช่วยเคลือบผมให้เงางามและป้องกันความร้อนจากไดร์หรือแสงแดด เหมาะกับผู้ชายที่ต้องเซ็ตผมเป็นประจำ

3. หลีกเลี่ยงความร้อนจัด

ผมผู้ชายส่วนใหญ่ถูกทำร้ายจากความร้อนโดยไม่รู้ตัว เช่น การเป่าผมหลังอาบน้ำด้วยลมร้อนแรง หรือใช้ไดร์ใกล้ศีรษะเกินไป ซึ่งทำให้ผมสูญเสียโปรตีนและกลายเป็นผมเสียในที่สุด หากจำเป็นต้องใช้ความร้อน ควรป้องกันด้วยวิธีดังนี้:

  • ใช้สเปรย์กันความร้อนทุกครั้งก่อนไดร์ผมหรือหนีบผม
  • เลือกโหมดลมอุ่นหรือลมเย็นแทนลมร้อนจัด
  • เป่าผมห่างจากศีรษะประมาณ 20 ซม. เพื่อป้องกันการไหม้ของเกล็ดผม

4. ตัดผมเป็นประจำ

แม้จะดูเป็นเรื่องเล็ก แต่การ “เล็มปลายผมเสีย” ทุก 6–8 สัปดาห์ ถือเป็นการรีเซ็ตสุขภาพผม เพราะช่วยกำจัดส่วนที่แตกปลายและป้องกันไม่ให้ผมเสียลามไปถึงโคน สำหรับผู้ชายที่ไว้ผมยาวหรือชอบทำสีบ่อย การตัดเล็มปลายผมเล็กน้อยเป็นประจำ จะช่วยให้ผมดูหนาขึ้น เรียงตัวสวย และลดปัญหาผมพันกัน

5. บำรุงจากภายในร่างกาย

ผมสวยไม่ได้ขึ้นอยู่กับการดูแลภายนอกเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณรับประทานในแต่ละวันด้วย รากผมต้องการสารอาหารอย่างโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ เพื่อสร้างเคราตินให้แข็งแรงจากภายใน

  • กินอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ไข่ นม ถั่ว และปลา เพื่อช่วยให้ผมแข็งแรงไม่ขาดง่าย
  • เสริมวิตามินบีและไบโอติน ช่วยเร่งการงอกของเส้นผม
  • ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของหนังศีรษะ

6. ทรีตเมนต์ผมในร้านเสริมสวย

หากผมของคุณเสียหนักจากการทำสีหลายครั้ง หรือรู้สึกว่าผมแข็งเหมือนไม้กวาด แม้ใช้ทรีทเม้นท์ที่บ้านแล้วยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้เข้าร้านทำผมเพื่อรับการบำรุงเชิงลึกโดยผู้เชี่ยวชาญ ร้านทำผมส่วนใหญ่มีบริการทรีตเมนต์เฉพาะ เช่น Olaplex Treatment, Keratin Smooth, หรือ Hair Spa ที่ช่วยซ่อมแซมเส้นผมจากภายใน ทำให้ผมกลับมานุ่ม เงางามตั้งแต่ครั้งแรก และคงผลลัพธ์ได้นานหลายสัปดาห์

เปรียบเทียบแชมพูปลอดซัลเฟต มาส์กเข้มข้น และเซรั่มกันความร้อน

ตารางเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ฟื้นฟูผมเสียสำหรับผู้ชาย

ก่อนเลือกซื้อ ลองเปรียบเทียบคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์แต่ละประเภท เพื่อให้เหมาะกับสภาพผมและปัญหาที่คุณต้องการแก้ไข

ประเภทผลิตภัณฑ์ คุณสมบัติเด่น เหมาะกับ
แชมพูฟื้นฟูผมเสีย ไม่มีซัลเฟต ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในเส้นผม และลดผมขาดหลุดร่วง ผู้ชายที่ผมแห้ง หรือผ่านการทำสีบ่อย
ทรีทเม้นท์ / มาส์กผม สูตรเข้มข้นสูง ช่วยซ่อมแซมโปรตีนในเส้นผม และเติมความนุ่มชุ่มชื้นอย่างล้ำลึก ผู้ชายที่ผมเสียหนัก หรือชี้ฟูจนจัดทรงยาก
เซรั่มบำรุงผม เคลือบผมให้เงางาม ป้องกันความร้อนและรังสี UV ได้ดี ผู้ชายที่ต้องเซ็ตผม หรืออยู่กลางแจ้งเป็นประจำ

เทคนิคฟื้นฟูผมรายสัปดาห์ น้ำมันบำรุง หวีซี่ห่าง ปลอกหมอนซาติน

เทคนิคเสริมสำหรับฟื้นฟูผมรายสัปดาห์

เพื่อให้ผลการบำรุงคงอยู่ต่อเนื่อง ลองเพิ่มกิจวัตรเล็กๆ เหล่านี้เข้าไปในชีวิตประจำวัน จะช่วยให้ผมแข็งแรงยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องใช้เวลามาก

  • หมักผมด้วยน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันอาร์แกน 1 ครั้งต่อสัปดาห์
  • ใช้หวีซี่ห่างเพื่อลดแรงดึงและลดการขาดหลุดร่วง
  • เปลี่ยนปลอกหมอนเป็นผ้าไหมหรือซาติน เพื่อลดแรงเสียดสีขณะนอน
  • หลีกเลี่ยงการสระผมทุกวัน — ให้สระวันเว้นวัน เพื่อรักษาสมดุลน้ำมันธรรมชาติบนหนังศีรษะ

รีวิวผลิตภัณฑ์แนะนำปี 2025: Top 3 Hair Treatment สำหรับผู้ชาย

เมื่อรู้วิธีดูแลและฟื้นฟูผมเสียแล้ว ขั้นตอนสำคัญถัดมาคือการเลือก ผลิตภัณฑ์บำรุงผมสำหรับผู้ชาย ที่ตอบโจทย์ปัญหาของคุณโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นผมแห้งเสียจากเคมี ผมแตกปลาย หรือผมชี้ฟูจากความร้อน เราได้คัด 3 ตัวเด็ดประจำปี 2025 ที่เห็นผลจริง ใช้แล้วผมกลับมานุ่มลื่น สุขภาพดีภายในไม่กี่สัปดาห์

KERASTASE Résistance Masque Force Architecte

1. KERASTASE Résistance Masque Force Architecte

จุดเด่น: ทรีทเม้นท์ระดับซาลอนที่ช่วยซ่อมแซมโครงสร้างเส้นผมจากภายใน ด้วยเทคโนโลยี Vita-Ciment® และ Pro-Keratin เสริมโปรตีนให้เส้นผมแข็งแรงขึ้นจากโคนถึงปลาย

เหมาะกับ: ผู้ชายที่ผมผ่านเคมีหลายครั้ง หรือผมขาดหลุดร่วงง่าย

ผลลัพธ์ที่ได้: ผมนุ่มขึ้นทันทีหลังใช้ครั้งแรก และลดการขาดหลุดร่วงภายใน 2 สัปดาห์

 L’ORÉAL Professionnel Absolut Repair Mask

2. L’ORÉAL Professionnel Absolut Repair Mask

จุดเด่น: สูตรเข้มข้นด้วยโปรตีนข้าวสาลีและทองคำบริสุทธิ์ ช่วยฟื้นฟูผมเสียหนักให้กลับมามีชีวิตชีวา พร้อมเคลือบผมให้เงางาม

เหมาะกับ: ผู้ชายที่ต้องการฟื้นฟูผมเสียให้เงานุ่มแบบไม่มันเยิ้ม

ผลลัพธ์ที่ได้: ผมแข็งแรง เรียบลื่นขึ้นตั้งแต่ครั้งแรก กลิ่นหอมติดผมยาวนาน

MOROCCANOIL Treatment Original

3. MOROCCANOIL Treatment Original

จุดเด่น: เซรั่มบำรุงผมสูตรอาร์แกนออยล์แท้จากโมร็อกโก เนื้อบางเบาไม่เหนียว ช่วยฟื้นฟูผมแห้งเสียและลดการชี้ฟูได้ทันที

เหมาะกับ: ผู้ชายที่ต้องการผมเงางามและปกป้องความร้อนจากการเซ็ตผม

ผลลัพธ์ที่ได้: ผมเงา นุ่ม และมีกลิ่นหอมติดทนนาน เหมาะสำหรับใช้ทุกวัน

สรุป: ผมเสียจากการทำเคมี ฟื้นฟูได้แน่นอน!

การดูแลผมเสียของผู้ชายไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด แค่รู้วิธีและใช้ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพผม ก็สามารถเปลี่ยนผมแห้งเสียให้กลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง ภายในไม่กี่สัปดาห์

คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการฟื้นฟูผมเสียของผู้ชาย

ผมเสียต้องตัดสั้นเท่านั้นไหม?

ไม่จำเป็นเสมอไป หากผมยังไม่เสียจนถึงโคน การหมักทรีทเม้นท์อย่างสม่ำเสมอและหลีกเลี่ยงความร้อนจะช่วยให้ผมยาวกลับมานุ่มและแข็งแรงได้โดยไม่ต้องตัดสั้นทั้งหมด เพียงเล็มปลายผมทุก 6–8 สัปดาห์ก็เพียงพอ

แชมพูแบบไหนเหมาะกับผมเสียจากการทำเคมี?

เลือกใช้แชมพูสูตรปราศจากซัลเฟต (Sulfate-Free) เพราะจะไม่ชะล้างน้ำมันธรรมชาติของผมออกมากเกินไป และควรมีส่วนผสมของเคราติน อาร์แกนออยล์ หรือไฮยาลูรอนิก ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นและฟื้นฟูเส้นผมจากภายใน

ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงเห็นผลหลังเริ่มฟื้นฟูผม?

โดยทั่วไป หากใช้ผลิตภัณฑ์และดูแลอย่างต่อเนื่องจะเริ่มเห็นความแตกต่างภายใน 4–6 สัปดาห์ ผมจะนุ่มลื่นและขาดร่วงน้อยลง แต่ถ้าผมเสียมาก อาจต้องใช้เวลาประมาณ 2–3 เดือนเพื่อให้ฟื้นฟูเต็มที่

ถ้าผมเสียร่วมกับผมร่วง ควรดูแลอย่างไร?

ควรใช้ทรีทเม้นท์หรือเซรั่มสูตรลดผมร่วงที่มีส่วนผสมของไบโอติน คาเฟอีน หรือซิงก์ควบคู่กับการหมักผมบำรุงเส้นผมเสีย และหลีกเลี่ยงการสระผมด้วยน้ำร้อน เพราะจะทำให้รากผมอ่อนแอลง

ผมเสียจากความร้อนบ่อย ๆ จะกลับมาดีได้ไหม?

กลับมาได้แน่นอน หากเริ่มป้องกันตั้งแต่วันนี้ โดยใช้สเปรย์กันความร้อนก่อนไดร์หรือหนีบทุกครั้ง และหมักผมด้วยทรีทเม้นท์สูตรโปรตีนอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อช่วยคืนความยืดหยุ่นให้เส้นผม

Scroll to Top