ภาพปกผู้หญิงไทยมีปัญหาผิวอักเสบในชีวิตประจำวัน

ผิวอักเสบ (Dermatitis) คืออะไร? อาการ สาเหตุ วิธีดูแล และการรักษา 2025

หลายคนอาจเคยสงสัยว่าอาการผื่นแดง คัน หรือผิวแห้งแตกที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ จริง ๆ แล้วคืออะไร และควรดูแลอย่างไร บางครั้งอาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวจากสิ่งกระตุ้นเล็กน้อย แต่ในบางกรณีก็อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาผิวที่ซับซ้อนกว่า เช่น ภูมิแพ้หรือโรคผิวหนังเรื้อรัง หากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้องตั้งแต่แรก อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น ทิ้งรอยดำ รอยแดง หรือแผลเป็นที่รักษายากในอนาคตได้ บทความนี้จึงจะพาคุณทำความเข้าใจปัญหาอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ความหมาย อาการ สาเหตุ วิธีดูแล ไปจนถึงแนวทางการรักษา

ผิวอักเสบ (Dermatitis) คืออะไร?

ผู้หญิงไทยมีอาการคัน เกาผิวจากผิวอักเสบ

ผิวอักเสบ หรือ Dermatitis คือภาวะที่ผิวหนังเกิดการระคายเคืองจนมีผื่นแดง คัน แห้ง แตก หรือบวมได้ง่าย ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับทุกเพศทุกวัย หากละเลยไม่ดูแลอย่างถูกวิธี อาจกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้ การทำความเข้าใจภาวะนี้จะช่วยให้คุณรู้วิธีป้องกันและฟื้นฟูได้ถูกต้อง

อาการของผิวอักเสบ

การสังเกตอาการตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยให้คุณสามารถป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามไปมากกว่าเดิม โดยผิวอักเสบมักเริ่มต้นด้วยความผิดปกติเล็ก ๆ น้อย ๆ บนผิวหนัง ก่อนจะพัฒนาไปสู่การคัน แดง หรือเกิดผื่นที่เห็นได้ชัด การรู้จักสัญญาณเหล่านี้จะช่วยให้คุณดูแลผิวได้ทันท่วงที

  • ผื่นแดง คัน ระคายเคือง – เป็นอาการเริ่มต้นที่พบบ่อยที่สุด มักเกิดจากการที่ผิวหนังตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น เช่น สารก่อภูมิแพ้ สารเคมี หรือมลภาวะ ทำให้หลอดเลือดบริเวณนั้นขยายตัว เกิดเป็นรอยแดงและความคัน
  • ผิวแห้ง แตก ลอก หรือเป็นขุย – เมื่อผิวอักเสบเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) จะอ่อนแอลง ทำให้สูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย ส่งผลให้ผิวแห้งตึง แตกเป็นร่อง หรือหลุดลอกเป็นขุย มักพบในคนที่มีผิวแพ้ง่ายหรืออยู่ในสภาพอากาศแห้ง
  • มีตุ่มน้ำใสหรือหนอง – หากการอักเสบรุนแรงขึ้น บริเวณผิวอาจเกิดตุ่มน้ำเล็ก ๆ หรือตุ่มหนอง ซึ่งเป็นสัญญาณของการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา ต้องระวังไม่แกะหรือเกา เพราะอาจทำให้การอักเสบลุกลามหรือทิ้งรอยแผลเป็นได้
  • บวมแดง หรือมีความร้อนบริเวณผิว – ผิวหนังที่อักเสบอาจมีอาการบวมและรู้สึกอุ่นกว่าปกติ เนื่องจากมีการไหลเวียนของเลือดและเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นเพื่อจัดการกับการอักเสบ หากบวมมากและเจ็บ ควรรีบพบแพทย์
  • รอยดำหรือรอยแดงหลงเหลือหลังหายอักเสบ – แม้ผิวจะหายจากการอักเสบแล้ว แต่หลายครั้งมักทิ้งรอย Post-Inflammatory Hyperpigmentation (PIH) หรือรอยแดงไว้ ทำให้ผิวไม่เรียบเนียน ต้องใช้เวลาและการบำรุงเพื่อลดรอยเหล่านี้

ผู้หญิงไทยมีอาการคัน เกาผิวจากผิวอักเสบ

สาเหตุของผิวอักเสบ

ผิวอักเสบอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งสิ่งแวดล้อมและภายในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่เราพบในชีวิตประจำวัน การสัมผัสสารระคายเคืองโดยไม่รู้ตัว ไปจนถึงโรคผิวหนังบางชนิด การทำความเข้าใจสาเหตุจะช่วยป้องกันและลดโอกาสเกิดซ้ำได้

  • การแพ้ เช่น สารเคมีในเครื่องสำอาง สบู่ น้ำหอม อาหาร หรือฝุ่นละออง
  • การระคายเคือง จากน้ำยาทำความสะอาดหรือเสื้อผ้าที่เสียดสีกับผิว
  • โรคผิวหนัง เช่น Eczema, Psoriasis, Seborrheic Dermatitis
  • การติดเชื้อ จากเชื้อรา แบคทีเรีย หรือไวรัส
  • ปัจจัยอื่น เช่น ความเครียด ฮอร์โมน พันธุกรรม

ประเภทของผิวอักเสบ

ผิวอักเสบไม่ได้มีรูปแบบเดียว แต่แบ่งออกเป็นหลายประเภทที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างกันไป การเข้าใจแต่ละชนิดจะทำให้คุณเลือกแนวทางการดูแลและรักษาได้เหมาะสมมากขึ้น

  • Atopic Dermatitis – พบในเด็กและผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
  • Contact Dermatitis – เกิดจากการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้หรือระคายเคือง
  • Seborrheic Dermatitis – มักเกิดที่หนังศีรษะและใบหน้า
  • Stasis Dermatitis – พบบริเวณขา เกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียนเลือด

ผู้หญิงไทยดูแลผิวอักเสบด้วยการทามอยส์เจอไรเซอร์

การดูแลผิวขณะอักเสบ

เมื่อผิวเกิดการอักเสบ การดูแลอย่างถูกวิธีถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้เร็ว ลดการลุกลาม และป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลเป็นหรือความหมองคล้ำตามมาในภายหลัง

  • หยุดการแต่งหน้าและการขัดผิว
  • ล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน
  • เติมความชุ่มชื้นด้วยมอยส์เจอไรเซอร์สูตรอ่อนโยน
  • ประคบเย็นเพื่อลดบวมและคัน
  • ดื่มน้ำ พักผ่อน และทานอาหารที่มีวิตามิน C, E, โอเมก้า 3

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อผิวอักเสบ

นอกจากการดูแลผิวให้แข็งแรงแล้ว การหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจทำให้อาการแย่ลงก็สำคัญไม่แพ้กัน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ จะช่วยให้ผิวไม่อักเสบซ้ำและฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น

  • เลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือกรดเข้มข้น – ส่วนผสมเหล่านี้อาจทำให้ผิวที่กำลังอักเสบยิ่งระคายเคืองมากขึ้น แอลกอฮอล์ดึงความชุ่มชื้นออกจากผิว น้ำหอมเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อย ส่วนกรดเข้มข้น (เช่น AHA, BHA, Retinol) อาจทำให้ผิวแสบ แดง และชะลอการฟื้นตัวได้
  • งดสครับและการเกาผิว – การขัดผิวหรือใช้สครับในช่วงที่ผิวอักเสบอาจทำให้เกราะป้องกันผิวถูกทำลายมากขึ้น เกิดแผลหรือการติดเชื้อตามมา ส่วนการเกาผิวถึงแม้จะช่วยลดอาการคันชั่วคราว แต่จะยิ่งกระตุ้นให้ผิวอักเสบรุนแรงและทิ้งรอยแผลเป็นได้
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด – รังสี UV สามารถทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้นและเพิ่มโอกาสเกิดรอยดำหลังการอักเสบ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation) หากต้องออกกลางแจ้งควรใส่เสื้อผ้าปกปิดและใช้ครีมกันแดดสูตรอ่อนโยนสำหรับผิวแพ้ง่าย
  • หลีกเลี่ยงการใช้น้ำร้อนจัด – การอาบน้ำหรือล้างหน้าด้วยน้ำร้อนจะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว และทำให้ผิวที่อักเสบแห้งตึงมากขึ้น ควรใช้น้ำอุณหภูมิห้องหรือน้ำอุ่นเพียงเล็กน้อยแทน
  • หลีกเลี่ยงความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ – ความเครียดและการนอนดึกเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ ส่งผลให้อาการอักเสบกำเริบง่ายขึ้น การพักผ่อนให้เพียงพอและการจัดการความเครียดจะช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น

การรักษาผิวอักเสบโดยแพทย์ผิวหนังไทย

การรักษาผิวอักเสบ

แม้การดูแลผิวด้วยตนเองจะช่วยให้อาการเบาลงได้บ้าง แต่สำหรับผู้ที่มีผิวอักเสบรุนแรงหรืออาการเรื้อรัง ควรได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมจากแพทย์ผิวหนัง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วขึ้น โดยวิธีการรักษาหลักมีดังนี้

  • การใช้ครีมหรือยาทาเฉพาะที่ – มักใช้ครีมสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบและอาการคัน แต่ต้องใช้ตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง เช่น ผิวบางหรือเส้นเลือดฝอยแตก บางรายอาจใช้ครีมที่มีสารต้านการอักเสบอื่น เช่น Tacrolimus หรือ Pimecrolimus ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ไม่ควรใช้สเตียรอยด์ระยะยาว
  • การใช้ยารับประทาน – หากอาการรุนแรงหรือยาทาไม่ได้ผล แพทย์อาจสั่งยาต้านการอักเสบ ยาแก้แพ้เพื่อลดอาการคัน หรือยากดภูมิคุ้มกันในกรณีโรคผิวหนังที่เกี่ยวข้องกับภูมิแพ้ เช่น Atopic Dermatitis
  • การรักษาเมื่อมีการติดเชื้อร่วม – หากตรวจพบการติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะทั้งแบบทาหรือรับประทาน ส่วนการติดเชื้อราหรือยีสต์อาจต้องใช้ยาต้านเชื้อรา การรักษาที่ตรงจุดจะช่วยลดการลุกลามและอาการกำเริบซ้ำ
  • การบำบัดร่วม – บางรายอาจได้รับคำแนะนำให้ทำการรักษาเสริม เช่น การฉายแสง UV (Phototherapy) เพื่อช่วยลดการอักเสบของผิวหนังในกรณีโรคเรื้อรัง หรือการทำแผนการดูแลร่วมกับโภชนาการเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันผิว
  • การปรับพฤติกรรมและการดูแลต่อเนื่อง – แม้ได้รับการรักษาแล้ว หากยังสัมผัสสิ่งกระตุ้นหรือไม่ดูแลผิวอย่างถูกวิธี อาการก็อาจกลับมาได้ ควรปรับพฤติกรรม เช่น หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ รักษาความสะอาดอย่างอ่อนโยน และใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่เหมาะกับผิวแพ้ง่าย

สารสกัดธรรมชาติช่วยลดอักเสบ เช่น ใบบัวบก คาเลนดูล่า

สารสกัดที่ช่วยบรรเทาผิวอักเสบ

ในปัจจุบัน สกินแคร์จำนวนมากใช้สารสกัดธรรมชาติเพื่อช่วยปลอบประโลมและลดการอักเสบของผิว การเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้จะช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้นโดยไม่ก่อการระคายเคืองเพิ่มเติม

  • ใบบัวบก (Centella Asiatica) – ลดการอักเสบและสมานแผล
  • ชะเอมเทศ (Licorice Extract) – ลดรอยแดงและสิว
  • ดอกคาเลนดูล่า (Calendula) – ปลอบประโลมผิว
  • ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera) – เติมน้ำให้ผิวและลดการคัน
  • ชาเขียว (Green Tea) – ต้านอนุมูลอิสระ
  • กัญชง (CBD) – ลดอักเสบและความเครียดของผิว

บทสรุปและคำแนะนำสำหรับการดูแลผิวอักเสบ

ผิวอักเสบ เป็นภาวะที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเกิดจากการแพ้ การระคายเคือง หรือโรคผิวหนังต่าง ๆ การสังเกตอาการตั้งแต่ระยะเริ่มต้นและการดูแลผิวอย่างถูกวิธีมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยลดความรุนแรงและฟื้นฟูผิวให้กลับมาแข็งแรงได้เร็วขึ้น

สิ่งสำคัญคือควรเลือกใช้สกินแคร์ที่อ่อนโยน ปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล์ และสารก่อการระคายเคือง พร้อมทั้งเสริมเกราะป้องกันผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมอย่าง เซราไมด์, ไฮยาลูรอนิคแอซิด หรือใบบัวบก หากมีอาการคัน แดง บวม หรือติดเชื้อ ควรรีบปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่ตรงจุด

นอกจากนี้ การดูแลสุขภาพจากภายใน เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1.5–2 ลิตร และรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินอี และโอเมก้า 3 ก็มีส่วนช่วยลดการอักเสบและฟื้นฟูผิวได้ดี

หากอาการผิวอักเสบไม่ดีขึ้นภายใน 1–2 สัปดาห์ หรือมีอาการรุนแรงมากขึ้น เช่น เกิดหนอง แผลลึก หรือบวมเจ็บ ควรเข้าพบแพทย์ทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหรือรอยแผลเป็นในระยะยาว

คำถามน่ารู้เกี่ยวกับผิวอักเสบ (FAQ)

ผิวอักเสบใช้ครีมบำรุงอะไรได้บ้าง?
แนะนำให้ใช้มอยส์เจอไรเซอร์สูตรอ่อนโยน ปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล์ และกรดผลไม้เข้มข้น ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมฟื้นฟูเกราะผิว เช่น เซราไมด์ ไฮยาลูรอนิกแอซิด หรือใบบัวบก
ผิวอักเสบหายเองได้หรือไม่?
บางกรณีสามารถหายเองได้หากหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น ฝุ่น สารเคมี หรือการเกาผิว แต่หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1–2 สัปดาห์ หรือมีการติดเชื้อ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษา
ความเครียดส่งผลให้ผิวอักเสบจริงไหม?
จริง ความเครียดทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติและส่งผลต่อผิว ทำให้อาการอักเสบกำเริบง่ายขึ้น การจัดการความเครียด เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกาย และการทำสมาธิ สามารถช่วยลดความรุนแรงได้
ผิวอักเสบกับสิวต่างกันอย่างไร?
สิวเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนและเชื้อแบคทีเรีย ขณะที่ผิวอักเสบเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ภูมิแพ้ การระคายเคือง หรือโรคผิวหนัง อาการมักเป็นผื่น แดง คัน แตกหรือลอก ซึ่งต่างจากสิวที่เป็นตุ่มหรือหัวหนอง
ควรหลีกเลี่ยงอะไรเมื่อผิวอักเสบ?
ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม กรดผลไม้เข้มข้น รวมถึงการสครับผิวและอาบน้ำร้อนจัด เพราะจะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นและอักเสบมากขึ้น
Scroll to Top